
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม., นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนายการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวการรับตัวผู้ต้องหาจากประเทศเวียดนามโดยการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-เวียดนาม ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาชาวไทย หัวหน้าเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ บริษัทกาแฟแคชแบค จำกัด หลอกลวงประชาชนกว่า 3000 ราย

วันเสาร์ ที่ 30 มีนาคม 2562 เวลา 22.00 น. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม., นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนายการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมตำรวจ สตม. ตำรวจท่องเที่ยว สภ.สุวรรณภูมิ ชุด ศปอส.ตร. และเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวการรับตัวผู้ต้องหาจากประเทศเวียดนามโดยการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-เวียดนาม ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาชาวไทย หัวหน้าเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ บริษัทกาแฟแคชแบค จำกัด หลอกลวงประชาชนกว่า 3000 ราย มูลค่าความเสียหาย หลายพันล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้นำกำลังกวาดล้าง เครือข่ายแชร์ลูกโซ่นี้ สามารถจับกุม ผู้ต้องหาแล้ว 8 ราย หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 2 ราย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รอง ผอ.ศูนย์ ศปอส.ตร.ได้สั่งการและประสานงานติดตามผู้ต้องหาทั้งสองมาโดยตลอด จนสามารถจับกุมผู้ต้องหารายนี้ได้ที่ประเทศเวียดนาม และนำตัวกลับมาดำเนินคดี ณ ห้อง ศปก.กก.3 บก.ทท.1 ชั้น 2 อาคารผู้โดยสาร (ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ)
สืบเนื่องจากศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผอ.ศปอส.ตร. ,พล.ต.ท.ธีรพล คุปตานนท์ ผบช.ทท. ได้รับร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพ เครือข่ายแชร์ลูกโซ่บริษัท กาแฟ แคชแบ็ค จำกัด มีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชนให้มาร่วมลงทุนอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า 105% ต่อเดือน มีประชาชนหลงเชื่อร่วมลงทุนจำนวนหลายพันราย
ต่อมาบริษัทได้ปิดตัวลงกลุ่มผู้บริหารได้นำทรัพย์สินหลบหนี มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วกว่า 1,000 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 3,000 ล้านบาท ต่อมาศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด 8 ราย ในความผิดฐาน“ร่วมกันฉ้อโกงโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง,ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน” และสามารถจับกุมผู้ต้องหาแล้วทั้ง 8 ราย ตามที่ได้เคยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแล้วนั้น
จากการสืบสวนขยายผลได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ นายกิตติกร หรือกร วรรณวสุธร และนางสาวสิรวัญพร หรือภู่ ไชยวัชรคุปต์ ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง,ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน”
หลังจากออกหมายจับ ผู้ต้องหาทั้งสองได้ไหวตัวหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ที่ประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงได้ทำหนังสือไปยังกรมการกงสุลเพื่อขอยกเลิกหนังสือเดินทางผู้ต้องหาทั้งสองราย และประสานความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเวียดนามออกไล่ล่าติดตามจับกุมตัว จนสามารถจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562 ได้ติดตามจับกุมตัวนายกิตติกร วรรณวสุธร ที่ประเทศเวียดนาม ได้ประสานส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย ส่วนนางสาวสิรวัญพร ไชยวัชรคุปต์ อยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัว
กฎหมายที่เกี่ยวข้องความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” ระวางโทษ “จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา343
ความผิดฐาน “กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ระวางโทษ “จำคุก 5 – 10 ปี ปรับ 5แสน – 1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่” ตาม พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 , 5 , 12 ความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ระวางโทษ “จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560 มาตรา 14(1)@พ.ต.ต.ญ.พัชรี ศรีเผือก

