
กรมทางหลวง ประชุมฟังรับฟังความคิดเห็นชาวอุบลราชธานี รอบ 2
เรื่องปรับปรุงทางเลี่ยงเมืองพิบูลมังสาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในอนาคต

วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ ห้องทับทิมสยาม 4 โรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์
อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานเปิดการ
ประชุมสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 2) โครงการจ้างวิศวกรที่ปรึกษาสำรวจและ ออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองพิบูลมังสาหาร เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าผลการศึกษา และสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบทางเลือกที่เหมาะสม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการศึกษาของโครงการ เพื่อนำไปพิจารณาประกอบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม
อำเภอพิบูลมังสาหาร เป็นอำเภอที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง เป็นศูนย์กลางระหว่างอำเภอต่างๆภายในจังหวัดอุบลราชธานี มีสะพานข้ามแม่น้ำมูลเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับอำเภอทางทิศเหนือ จึงเป็นจุดเชื่อมต่อการ คมนาคม ศูนย์รวมธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประตูสู่อินโดจีน การเป็นศูนย์กลางของอำเภอรอบข้าง
ทำให้มีปริมาณจราจรจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านโครงข่ายเพื่อรองรับการสัญจรในอนาคต สำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวง จึงได้ดำเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย
บริษัท สแปน จำกัด บริษัท พรี ดีเวลลอปเมนท์ คอนชัลแตนท์ จำกัด และบริษัท ลูเช่ ครีเอชั่น จำกัด ดำเนินการศึกษาโครงการจ้างวิศวกรที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจรทางเลี่ยงเมืองพิบูลมังสาหาร
เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในเขตเมืองพิบูลมังสาหาร เพื่อให้ผู้ใช้ทางสัญจรได้อย่างคล่องตัว ลดอุบัติเหตุและความแออัดจากการเดินทาง ด้วยทางเลี่ยงเมืองที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนสำหรับแนวเส้นทางโครงการ มีจุดเริ่มต้นโครงการบนทางหลวงหมายเลข 217 บริเวณ กม.37+000 และ
จุดสิ้นสุดบนทางหลวงหมายเลข 2222 บริเวณ กม.27 + 630.000 โดยที่ปรึกษาโครงการฯ ได้พิจารณาคัดเลือกแนวเส้นทางจำนวน 4 แนวทางเลือก ซึ่งจากการพิจารณาเปรียบเทียบแนวเส้นทางเลือกครอบคลุมปัจจัยใน 3 ด้านหลักประกอบด้วย ด้านวิศวกรรมและจราจร ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน และด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม พบว่า แนวเส้นทาง
ทางเลือกที่ 3 มีความเหมาะสมมากที่สุด โดยแนวเส้นทางมุ่งไปทางทิศใต้ประมาณ 1,300 เมตร แล้วจึงเลี้ยวไปทางทิศตะวันออกผ่านพื้นที่เกษตรกรรมเป็นแนวเส้นโค้งเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อโบราณสถานในระยะ 1 กิโลเมตร จากนั้นตัดกับทางหลวงหมายเลข 217 แล้วจึงมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือข้ามแม่น้ำมูล และมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 2222 ระยะทางรวม 13.34 กิโลเมตร ส่วนรูปแบบการพัฒนาถนนทั่วไปของโครงการ ได้พิจารณาออกแบบเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ความกว้าง
จราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร และมีเกาะกลางแบบกดเป็นร่อง (Depressed Median)กว้าง 12.10 เมตร ในเขตทาง 60 เมตร

นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาคัดเลือกรูปแบบจุดตัดทางแยก จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.จุดตัดทางหลวง หมายเลข 21 7 จุดเริ่มต้นโครงการ พบว่า รูปแบบทางเลือกที่ 3 ทางต่างระดับรูปแบบ Trumpet เป็นรูปแบบที่ เหมาะสมที่สุด โดยออกแบบเป็นสะพานยกระดับรูปแบบ Directional Ramp สำหรับการจราจรขาเข้าโครงการ และLoop Ramp สำหรับการจราจรขาออกจากโครงการ เป็นรูปแบบที่ให้บริการด้านจราจรที่ดี ค่าลงทุนต่ำ ผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่ำ 2.จุดตัดบริเวณสี่แยกทางหลวงหมายเลข 217 ด้านทิศใต้ พบว่า รูปแบบทางเลือกที่ 2ทางต่างระดับรูปแบบ Partial Cloverleaf เป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด โดยออกแบบเป็นทางต่างระดับ ขนจด 4 ช่องจราจร และก่อสร้างสะพานรองรับรถเลี้ยวขวา (Loop Ramp) จำนวน 2 สะพาน รองรับการเดินทางของรถเลี้ยวขวา
จากทิศตะวันตก-ใต้ และรถเลี้ยวขวาจากทิศตะวันออก-เหนือ เป็นรูปแบบที่ให้บริการด้านการจราจรที่ดี ค่าลงทุนต่ำผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับต่ำ 3.จุดตัดทางหลวงหมายเลข 2222 จุดสิ้นสุดโครงการ พบว่ารูปแบบทางเลือกที่ 1 ทางต่างระดับรูปแบบสะพานข้ามแยก (Overpass) เป็นรูปแบบที่เหมาะสมมากที่สุด โดยออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกบนทางหลวงหมายเลข 2222 ขนาด 4 ช่องจราจรและจัดการจราจรบริเวณสามแยกในรูปแบบสัญญาณไฟควบคุม เป็นรูปแบบที่สามารถรองรับการจราจรได้เหมาะสม ค่าก่อสร้างปานกลาง ผลกระทบต่อ
สังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ที่ปรึกษาโครงการฯ ได้เสนอรูปแบบสะพานข้ามแม่น้ำมูล โดยออกแบบเป็นสะพานคอนกรีตอัดแรงรูปกล่องแบบหล่อในที่ (Cast in Situ post tension Box Girder) ความยาวสะพานประมาณ657 เมตร ขนาด 4 ช่องจราจร ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร และมีทางเท้าทั้งสองฝั่งของสะพาน โดยทางเท้าจะเริ่มที่บริเวณทางขึ้น-ลงของสะพาน ซึ่งอยู่บริเวณจุดกลับรถใต้สะพาน สำหรับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงที่ผ่านมา ที่ปรึกษาได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูล สำรวจและ
เก็บตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือ IEE เพื่อคัดกรองปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทรัพยากร
สิ่งแวดลอมทางชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต สำหรับนำไปศึกษาในชั้น EIA
พบว่ามี 24 ปัจจัย โดยลำดับถัดไป ที่ปรึกษาโครงการฯ จะนำทั้ง 24 ปัจจัยนี้ มาประเมินผลกระทบรายละเอียดพร้อมทั้งกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจัยที่มีผลกระทบต่อไป ภายหลังการประชุมครั้งนี้ กรมทางหลวง และบริษัทที่ปรึกษาจะรวบรวมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ จากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาของโครงการ พร้อมทั้งจะดำเนินการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลโครงการไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่โครงการได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมีกำหนดจัดการประชุมกลุ่มย่อย ครั้งที่ 2 ในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2566 การประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 3 ในช่วงประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2566 เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาในทุกด้านให้ประชาชนได้รับทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงาน
ต่อไป โดยผู้สนใจสามารถติดตามความคืบหน้าและรายละเอียดของโครงการฯ ได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ 1.เว็บไซต์www.phibunmangsahanbypass.com และ 2.Line :phibunmangsahanbypass และในที่ประชุมได้มีประชาชนสอบถามถึงระยะเวลาที่คาดว่าโครงการจะเริ่มก่อสร้างได้ พร้อมสอบถามถึงการเวนคืนที่ดินในพื้นที่ที่ถนนได้ตัดผ่าน โดยทางเจ้าหน้าที่ ให้คำตอบว่าการชดเชย จะมีอยู่ 3 อย่าง 1 ชดเชยค่าที่ดิน 2 ชดเชยค่าสิ่งปลูกสร้าง 3 ชดเชยค่าพืชผลการเกษตร และจะมีการตั้งคณะกรรมการที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานขึ้นมาดูแลในเรื่องการกำหนดค่าชดเชย



